ประวัติและพัฒนาการหนังสือพิมพ์ไทย


วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประวัติและโครงสร้างองค์กรเครือเนชั่นกรุ๊ป




  เนชั่น กรุ๊ป ก่อตั้งเมื่อปี 2514 โดยออกหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับแรกที่มีเจ้าของเป็นคนไทย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เนชั่น กรุ๊ป มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย ทำหน้าที่สื่อมวลชนที่เป็นกลาง เชื่อถือได้และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยมาโดยตลอด ด้วยปณิธานที่ต้องการช่วยพัฒนาและนำพาสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งภูมิปัญญา  กระทั่งสามารถพัฒนาธุรกิจให้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเนชั่น กรุ๊ป เป็นบริษัทสื่อครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งของประเทศไทย

 บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์
จำกัด(มหาชน) (“บริษัทฯ”) เป็นหนึ่งในบริษัทย่อยในสายธุรกิจด้าน การศึกษา บันเทิง และต่างประเทศ ของบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) (เนชั่นกรุ๊ปฯ ”) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทฯ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 ภายใต้ชื่อ เนชั่น ชีพจรวันนี้ซึ่งต่อมาในปี 2545 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เนชั่นบุ๊คส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจสำนักพิมพ์ เนชั่นบุ๊คส์ในการผลิตและจำหน่ายหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คส์ ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากนักเขียนและสำนักพิมพ์ชั้นนำ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมิได้มีโรงพิมพ์เป็นของตนเอง

 ต่อมาที่ประชุมคณะกรรมการเนชั่นกรุ๊ปฯ ครั้งที่ 4/2549 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2549 ได้มีมติให้ปรับโครงสร้างสายธุรกิจด้าน การศึกษา บันเทิง และต่างประเทศ เพื่อให้สายธุรกิจดังกล่าวมีการดำเนินงานที่คล่องตัว ชัดเจน และเกิดการเติบโตของธุรกิจตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตในอนาคต โดยไม่ต้องพึ่งพิงความช่วยเหลือด้านการเงินจากเนชั่นกรุ๊ปฯ ซึ่งให้บริษัทฯ เป็นบริษัทแม่ของสายธุรกิจด้านการศึกษา บันเทิง และต่างประเทศ และถือหุ้นในบริษัทย่อย และกิจการที่ควบคุมร่วมกัน จำนวน 2 บริษัท คือ

    1) บริษัท เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (“NED”)

    2) บริษัท เนชั่น เอ็กมอนท์ เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (“NEE”)

    ในสัดส่วนร้อยละ 99.99 และ 49.99 ตามลำดับ อีกทั้งยังรับเป็นผู้ดำเนินการแทนเนชั่นกรุ๊ปฯ ในธุรกิจตัวแทนขายโฆษณาให้ สิ่งพิมพ์ต่างประเทศ ตัวแทนการพิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือพิมพ์และนิตยสารในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนบางส่วนให้แก่สำนักพิมพ์ต่างประเทศ รวมทั้งธุรกิจการอบรมสัมมนา, สอนภาษาต่างประเทศ และทักษะการสื่อสาร โดยในการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ บริษัทฯได้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1 ล้านบาท เป็น 70 ล้านบาท ในปี 2549 โดยการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่เนชั่นกรุ๊ปฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิม และเนชั่นกรุ๊ปฯ ได้ขายเงินลงทุนใน NED และ NEE ให้บริษัทฯ ตามมูลค่าทางบัญชี ณ วันที่เกิดรายการ อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ ไม่มีการดำเนินธุรกิจการอบรมสัมมนา,สอนภาษาต่างประเทศ และทักษะการสื่อสาร (ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ต่ำกว่าร้อยละ 5 ของรายได้รวมของกลุ่มบริษัทฯ) หลังจากไตรมาส 1 ปี 2552 นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังรับโอนธุรกิจสำนักพิมพ์ Bizbook จากเนชั่นกรุ๊ปฯ นไตรมาส 3 ปี 2552 เพื่อให้การแบ่งแยกธุรกิจระหว่างกลุ่มบริษัทฯ และเนชั่นกรุ๊ปฯมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2551 ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทฯ จากบริษัท เนชั่นบุ๊คส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 70 ล้านบาทเป็น 85 ล้านบาท เพื่อรองรับการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2552 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของเนชั่นกรุ๊ปฯ ครั้งที่ 1/2552 ได้อนุมัติแผนงานการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในครั้งนี้ และการนำหุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (“Spin-off”) ซึ่งการ Spin-off ดังกล่าวเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่จะเป็นการเพิ่มมูลค่าในการลงทุนของเน ชั่นกรุ๊ปฯ อีกทั้งเนชั่นกรุ๊ปฯ สามารถนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นเดิมพร้อมกับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่ม ทุนในครั้งนี้มาจ่ายคืนเงินกู้ยืมซึ่งเป็นการปรับปรุงสถานะทางการเงินของเนชั่นกรุ๊ปฯ ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นของเนชั่นกรุ๊ปฯ ในอนาคต ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการของเนชั่นกรุ๊ปฯ ครั้งที่ 4/2553 ได้มีมติอนุมัติให้เนชั่นกรุ๊ปฯ เสนอขายหุ้นสามัญจำนวน 4,000,000 หุ้นที่เนชั่นกรุ๊ปฯ ถืออยู่ในบริษัทฯ พร้อมกับการเสนอขายหุ้น ให้แก่ประชาชนและบุคคลทั่วไปเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ ในครั้งนี้

อย่างไรก็ตามการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในครั้งนี้จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของเนชั่นกรุ๊ปฯ ในบริษัทฯ ลดลงจากที่เคย ถืออยู่ร้อยละ 99.99 ของทุน ที่ออกและเรียกชำระแล้ว มาเป็นร้อยละ 77.65 จึงทำให้สัดส่วนการควบคุมในบริษัทฯ ลดลงไปตามสัดส่วนการถือหุ้น อย่างไรก็ตามเนชั่นกรุ๊ปฯ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในบริษัทฯ ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และบริษัทฯ ยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของเนชั่นกรุ๊ปฯ เช่นเดิม ถึงแม้สัดส่วนการรับรู้รายได้และกำไร รวมถึงเงินปันผลของเนชั่นกรุ๊ปฯ จากบริษัทฯ ที่ Spin-off ไปแล้วจะลดลงเนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง แต่โดยทั่วไปบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วจะมีการขยายตัวในธุรกิจ ทำให้มีรายได้และผลกำไรที่เติบโตขึ้น ดังนั้น หากบริษัทฯ มีกำไรเพิ่มมากขึ้นจากการขยายตัว ก็อาจทำให้ส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลจากบริษัทฯ เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเนชั่นกรุ๊ปฯ เช่นกัน นอกจากนั้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบจาก Dilution Effect ที่กล่าวมาข้างต้น

  คณะกรรมการของบริษัทฯ  จึงมีมติให้มีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทฯ  จำนวน  9,000,000  หุ้น  คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47.37 ของจำนวนหุ้น ในการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ทั้งหมด 19,000,000 หุ้น เพื่อเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมของเนชั่นกรุ๊ปฯ ทุกรายตามสัดส่วนการถือหุ้นที่มีอยู่ (Pre-emptive right) โดยเป็นการจัดสรรในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ ให้แก่ประชาชนและบุคคลทั่วไป ในราคาที่เท่ากัน

โครงสร้างองค์กร 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น